วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

การลอกฟิล์มกรองแสงด้วยตนเอง

การ ลอกฟิล์มนั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองใช้เวลาไม่นาน วันหยุดว่าง ๆ ก็สามารถลงมือทำได้ด้วยตัวเอง สำหรับเจ้าของรถ ที่คิด ว่าอยากจะ "เปลี่ยนฟิล์มเก่า" ที่เน่าแล้ว หรือท่านที่ต้องการจะติดฟิล์มใหม่ (ให้กับรถเก่า) แต่ติดขัดที่เจ้าของ ร้านประดับยนต์ มักจะทำ เล่นตัวไม่ยอมลอกกันจริง ๆ จะต้องเสียค่าบริการ "แพง" หลายร้อย บางเจ้าก็มีข้อแม้ว่า ลอกให้น่ะได้แต่ต้องติดของใหม่ที่นี่ด้วย ถ้าเจอ อย่างนี้กลับมาเตรียมตัวลงมือเองดีกว่าครับ เป็นทางออกทางหนึ่งที่สามารถทำได้โดยไม่ยากนัก
ก่อนอื่นต้องเตรียมเครื่องมือเครื่องไม้อันประกอบไปด้วย "กระบอกฉีดน้ำ" ถ้า ไม่มีก็ต้องสละเงิน 20 บาทซื้อติดบ้านเอาไว้ เครื่องมือชิ้นที่ 2 เป็น "ใบมีด" อย่างใบมีด โกนหนวด ที่ช่างตัดผมเขากันนั่นแหละครับ ลักษณะเป็นใบสั้น ๆ ไม่มีด้าม มีแต่ใบมีด กับที่หุ้มใบด้านหนึ่งเอาไว้จับเท่านั้น หรือถ้ากลัวมีดบาทมือ จะใช้มีดคัตเตอร์เล่มละ 10 บาท ก็ได้เช่นกัน เริ่มกระบวนการลอกฟิล์ม ด้วยการหาที่จอดรถเหมาะ ๆ ที่ควรจะอยู่ ในที่ร่ม มีแสงสว่างพอสมควร ไม่ควรทำงานกลางแจ้งโดยเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวเดียว ไม่เกินเที่ยงก็จะลมจับอยู่ในรถนั่นแหละ เปิดประตูรถทุกบาน เพื่อให้สามารถระบาย อากาศภายในห้องโดยสาร ออกไปได้อย่างสะดวก ๆ
ถ้าไม่นับน้ำยาลอกกาวแล้วเครื่องมือทั้งหมดนี้ก็ใช้เงินไม่กี่บาทเองครับ
เอาน้ำผสมกับแชมพูสระผมหรือน้ำยาล้างกระจกแบบไม่ต้องเข้มข้นมากนักเอาแค่พอ มีฟองใส่กระบอกฉแแดน้ำเตรียมไว้ เลือกให้ ดีว่าจะลอกฟิล์ม จากกระจกบานไหนก่อน แต่อยากให้เลือกบานหน้าขวา เพราะจะได้มีความตั้งใจเป็นพิเศษในการทำงาน จากนั้น ให้เลื่อน กระจกลงมานิดหนึ่ง พอให้เห็นเนื้อฟิล์ม แล้วใช้ใบมีดโกน "สะกิด"ที่ขอบหรือมุมของฟิล์มให้เผยอขึ้นเล็กน้อยพอให้จับได้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงฟิล์มเก่าออกมาพร้อมกับใช้น้ำผสมแชมพูที่เตรียมไว้ค่อย ๆ ฉีดตามหลังไปเรื่อย ๆ แต่บางครั้งมันก็จะตึง ๆ เสียงดัง น่ากลัวขาด แต่ไม่ต้องกลัวขาด แต่ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะเราตั้งใจจะทิ้งอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ
พอดึงออกมาได้สักครึ่งบานก็ให้เลื่อนกระจกขึ้นให้สุดจะทำให้สามารถ ดึงเอาฟิล์มออกได้จนสุดในระหว่างนั้นก็ต้องคอยฉีดน้ำผสม แชมพู เลี้ยงเอา ไว้ตลอดเวลา (แต่อย่าให้ชุ่มจนโชกก็แล้วกัน) งานช่วงนี้หาก ฟิล์มกรองแสง ที่คุณใช้อยู่เป็นของดีมีคุณภาพ เวลาลอกออกจะแสนง่ายดาย เพราะเนื้อกาว มันจะติดอยู่กับแผ่นฟิล์ม เวลาลอกกาวก็จะตาม เนื้อฟิล์มออกมาหมด ไม่มีเหลือ ทิ้งค้างไว้ที่กระจกเลย หลังจากลอกเสร็จแล้ว ก็จะไม่พบคราบ กาวเหนียว ๆ ติดค้างอยู่ที่กระจก แต่ถ้าหากฟิล์มที่คุณ กำลังลอก อยู่นั้นเป็น ฟิล์มคุณภาพต่ำ ก็คงจะหนีไม่พ้นต้องพบกับเรื่องเหนียว ๆ เพราะเนื้อกาว มันยัง คงติดแน่น อยู่กับกระจกเช่นเดิม แต่ฟิล์มที่คุณดึงมันออกมา จะเป็นเพียงแค่ "กระดาษแก้ว" สีม่วง เท่านั้นเองแถมระหว่างที่กำลังลอกอยู่นั้น ยังมีกลิ่นเหม็น เปรี้ยวร้ายกาจ อันเกิดจากกาวอีกด้วย
นี่แหละสาเหตุที่บอกว่าจะต้องเปิดประตูเอาไว้ทุกบานเพื่อจะได้ระบายกลิ่น เหม็นออกไป จากนั้น ก็มาถึงงานกำจัดคราบกาว ที่ยังยึดแน่นอยู่กับผิวกระจกให้ใช้น้ำผสมแชมพูฉีดไปบนผิวกาวอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วให้ใช้ใบ มีดโกนที่เตรียมไว้แล้ว มาขูดออก (ระหว่างทำงานต้องระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นอาจโดนมีดบาด ) ขณะที่ขูดคราบกาวบนกระจกเศษ ๆ กาวที่หลุด ออกมาจะเหมือนกับ "วุ้น" สีขาวขุ่น ๆ เวลาขูดให้เริ่มต้นจากทางด้านใดด้านหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ขยายพื้นที่ออกได้แล้วก็ค่อย ๆ สำรวจ ความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง
แต่ห้ามเด็ดขาดเลยคือ ไม่ให้ใช้ผ้าเช็ดกระจกในขณะที่ยังมีคราบกาว ติดอยู่ เพราะจะทำให้คราบกาวยิ่งกระจายออกไป ทำงานยากขึ้นไปอีก ทีนี้เศษ กาวที่หลุดออกมานั้น หากหล่นลงพื้นไปเลย ก็ไม่เป็นไร เก็บไว้กำจัดทีหลังได้ แต่ถ้าหากมันหล่น ลงบนเบาะ ที่นั่งหรือภายในห้องโดยสาร ก็ให้จัดการทันที หลังจากที่ขูดคราบกาวออกจากกระจกแล้ว เนื่องจากว่าหากปล่อยทิ้งเอาไว้ คราบกาวเหล่านั้นมันจะกลับคืนสภาพเดิม คือ เหนียว ๆ แล้วจะกำจัดได้อยาก
เหลือบ่ากว่าแรงก็อย่าทำ
การลอกฟิล์มกรองแสงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย แถมยังติดสนุก ๆ เอาเสียอีก เผลอ ๆ ไปทำงานยังรับงานลอกฟิล์มให้รถเพื่อน ๆ ได้อีกด้วย แต่อย่าลืมว่าเรายังมีกระจกบานหลัง อยู่อีกทั้งบาน ที่ยังมีฟิล์มติดอยู่ และพื้นที่ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานสักเท่าไร เนื่องจาก มุมและตำแหน่งของเบาะนั่งมันบังคับเอาไว้ ดังนั้นเพื่อความสะดวกจึงควรหากระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ มาปูรองพื้นเอาไว้ เผื่อเวลาเก็บทำความสะอาดเศษกาวและน้ำจะได้ทำได้สะดวกง่ายดาย กรรมวิธีการลอกก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เพียงแค่ดึง ๆ ฉีด ๆ แล้วก็ขูด ๆ เท่านั้น
แต่สิ่งที่จะก่อปัญหาให้มากที่สุดคือรถที่ติดตั้ง "ลวดละลายฝ้า" ที่กระจก หลัง เพราะเราไม่สามารถ จะใช้มีดโกนขูดกาวออกได้เลย รวมทั้งเวลาดึงฟิล์ม ก็ต้องเพิ่ม ความระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกัน ความเสียหาย ที่เกิด ขึ้นกับเส้นลวดละลายฝ้าเหล่านั้น ในมื่อไม่อาจใช้ใบ มีดโกนได้ เช่นเดิม แล้ว สิ่งที่จะสามารถนำมาใช้ทดแทนกันได้ (เฉพาะกรณีนี้เท่านั้น) ก็คือ "ไม้โปร" ที่เราเคยใช้กันตอนสมัยเรียนนั่นแหละครับ เวลาขูดก็ให้ขูดตาม แนวนอน ห้ามขูดตัดเส้นลวดเด็ดขาด และถ้าหากไม่สามารถ กำจัดคราบกาว ให้หมดจดไป ได้อย่างสิ้นเชิง
ก็ยังมีเครื่องมือพิเศษ มาให้เล่นอีกนั่นคือ "น้ำมันสน" ให้ไปที่ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างซื้อมาหนึ่งขวดแล้วใช้ผ้าชุบพอหมาด ๆ ค่อย ๆ เช็ดเอาคราบกาวออก แต่บอกเอาไว้ก่อนว่า ผลที่จะตามมาจากการใช้น้ำมันสนมีอยู่บ้าง คือ "กลิ่น" เนื่องจากน้ำมันสน จะมีกลิ่น แรงพอสมควร ทั้งยังจะหลงเหลือติดตามซอกกระจกทิ้งกลิ่นเอาไว้ให้ดมเล่นกันเป็นสัปดาห์ก็ ยังไม่หมด ถ้าทำไม่ดีก็จะมีหยด ตกค้าง
อีกวิธีหนึ่งที่ต้องลงทุนแพงขึ้น คือ การใช้ "น้ำยาลอกกาว"ที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ราคาไม่แพงสักเท่าไร เพื่อเป็นการตัด ปัญหา เรื่องกลิ่น และคราบน้ำมันตกค้าง แต่จะขอเตือนไว้เสียก่อนว่า การใช้น้ำยาลอกกาวนั้นจะต้องใช้อย่างเดียวไปเลย ไม่ควรนำมา ใช้ร่วมกับน้ำ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาจากคราบกาวที่ติดอยู่ได้โดยมันจะกลายสภาพเป็นกาว เหนียว ๆ ยากต่อการกำจัด ในภายหลัง
การลอกฟิล์มคุณภาพต่ำ ๆ ออกนั้น นอกจากจะทำให้รถดูดี มองสะอาด ตายิ่งขึ้นแล้ว ยังทำให้คุณได้มีโอกาสทำตัวให้ถูกกฎหมายอีกด้วย อ้อ?ขอฝาก เอาไว้ซักเล็กน้อย ถ้าต้องการจะติดฟิล์มกรองแสงครั้งต่อไป ก็ขอให้ลอง ตรวจ สอบคุณภาพและค่า "แสงส่องผ่าน" ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ เพราะ การ ติดฟิล์มมืด ๆ นอกจากเรื่องของแสงสว่างภายในห้องโดยสาร จะน้อยอย่าง เดียวแล้ว เวลาขับรถกลางคืนหรือยามฝนตกจะสร้างปัญหาให้คุณ มากกว่า การติดฟิล์มที่มีเปอร์เว็นต์แสงส่องผ่าน 40-50 % ความร้อนน่ะ ไม่เท่าไหร่ เพราะไม่ว่าสีจะเข้มหรือจางหากเป็นฟิล์มคุณภาพดี ๆ ก็สามารถกันความร้อน ได้ทั้งนั้น
แต่ถ้าเป็นฟิล์มด้อยคุณภาพ แม้จะดำจนมืดสนิทก็ไม่สามารถจะกันความร้อนได้อย่างฟิล์มดี ๆ หรอกครับ เรื่องกฎหมายฟิล์ม กรองแสงจะออกมาเช่นไรก็อย่าไปสนใจมันเลยครับ เรามาเน้นเรื่องของทัศนวิสัย ในการขับรถกลางคืนกับเวลาฝนตกแค่นี้ผมก็ว่า คุ้มแล้วครับ

วิธีลบประวัติเว็บที่เคยเข้า


IE Version รุ่นใหม่ ๆ
แบบสั้น
  1. เปิด Internet Explorer
  2. กดปุ่มที่แป้นพิมพ์ keyboard Ctrl+Shift+Delete
  3. ติ๊กถูกที่ History จากนั้นกด Delete

แบบยาว
  1. เปิด Internet Explorer
  2. ดูด้านขวาบนสุดของจอ มองหา รูปเกียร์ (Tools (Alt+X))
  3. ดูที่แถบ General มองหา Browsing History จากนั้นกด Delete
  4. เลือก Safety > Delete browsing history...
  5. ติ๊กถูกที่ History จากนั้นกด Delete

วิธีป้องกัน 
ถ้าต้องการไม่ให้มีการบันทึก Web + Search History เกิดขึ้น ให้เปิด Internet Explorer แล้วใช้โหมด InPrivate Browsing (เปิด e สีฟ้า แล้วกดแป้น Ctrl+Shift+P หรือ กดรูปเกียร์ตรงขวาบนของจอ > Safety > InPrivate Browsing)
IE Version 6
  1. เปิด Internet Explorer
  2. ดูด้านบนสุดของจอ มองหา Tools > Internet Options
  3. ดูที่แถบ General มองหา Browsing History จากนั้นกด Delete
  4. เลือก Delete History
เพียงเท่านี้ ช่องที่ไว้พิมพ์เว็บ (Web address) ก็จะไม่มีรายชื่อเว็บที่เคยเข้าปรากฎ

ส่วนถ้าต้องการไม่ให้มีการบันทึก History เกิดขึ้น ให้ใช้ Internet Explorer ตั้งแต่รุ่น 8 ขึ้นไป แล้วใช้โหมด InPrivate Browsing

Firefox
แบบสั้น
  1. เปิด Firefox
  2. กดปุ่มที่แป้นพิมพ์ keyboard Ctrl+Shift+Delete
  3. ตรง Time range to clear: Everything
  4. ติ๊กถูกที่ Browsing & Download History จากนั้นกด Clear 
แบบยาว
  1. เปิด Firefox
  2. ดูที่ด้านซ้ายบนสุดของจอ มองหา Firefox > Options > Options > Privacy > clear your recent history
  3. ติ๊กถูกที่  Browsing & Download History จากนั้นกด Clear 
วิธีป้องกัน
ถ้าต้องการไม่ให้มีการบันทึก Web + Search History เกิดขึ้น ให้เปิด Firefox แล้วใช้โหมด Private Browsing (เปิด Firefox แล้วกดแป้น Ctrl+Shift+P หรือ กดปุ่ม Firefox ด้านซ้ายบนของจอ > Start Private Browsing)

Google Chrome

แบบสั้น
  1. เปิด Google Chrome
  2. กด Ctrl + H
  3. กด Clear all browsing data...
  4. ตรง Obliterate the following items from: เลือก the beginning of time (ตั้งแต่อดีตที่ไกลที่สุด)
  5. ติ๊กถูกที่ Clear browsing history จากนั้นกด Clear browsing data
แบบยาว
  1. เปิด Google Chrome
  2. ดูที่ด้านขวาบนของจอ มองหารูปประแจ (Customize and control Google Chrome) > Settings
  3. มองหาแถบ Under the hood > Clear browsing data...
  4. ตรง Obliterate the following items from: เลือก the beginning of time (ตั้งแต่อดีตที่ไกลที่สุด)
  5. ติ๊กถูกที่ Clear browsing history จากนั้นกด Clear browsing data


วิธีป้องกัน
ส่วนถ้าต้องการไม่ให้มีการบันทึก History เกิดขึ้น ให้กดรูปประแจ (Wrench Icon, Customize and control Google Chrome) แล้วเลือก New incognito window ขณะเล่นเน็ต (หรือ กด Ctrl+Shift+N) จะมีรูปสายลับ (Spy) ขึ้นเวลาใช้


Android web Browser (มือถือ smartphone Samsung, HTC, Motorola, Acer, LG)
  1. เปิด Android Browser (โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ (หรือ เรียกกันว่า โปรแกรมค้นดูเว็บ, เล่นเน็ต) แอนดรอยด์)
  2. กด ปุ่มเมนู (Menu) (ปุ่มซ้ายล่างของโทรศัพท์)
  3. เลือก More
  4. เลือก Settings (อยู่ล่าง ๆ)
  5. มองหา "Privacy settings" กด Clear history
  6. เครื่องจะถามว่า The browser navigation history will be deleted. ให้ตอบ OK

Safari Browser (ลบข้อมูลเข้า​เว็บ iPhone, iPad)
  1. เปิด Safari (โปรแกรมเว็บเบราเซอร์)
  2. กด ปุ่ม Bookmark (ปุ่มรูปคล้ายๆหนังสือ (ปุ่มที่2 นับจากขวามือ))
  3. เข้าไปจาเจอแถบ History (Icon แฟ้มปะรูปนาฬิกา)
  4. เข้า History > กด Clear > เลือก Clear History

ปลั๊กอิน Adobe Flash Player บน Google Chrome

Adobe Flash Player มีการรวมการทำงานกับ Google Chrome โดยตรงและเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้น การอัปเดตที่มีอยู่สำหรับ Adobe Flash Player จะรวมอยู่ในการอัปเดตระบบของ Chrome โดยอัตโนมัติ
หากคุณต้องการใช้ Adobe Flash Player ในเบราว์เซอร์อื่น คุณจะต้องดาวน์โหลด Adobe Flash Player สำหรับเบราว์เซอร์นั้นๆ ต่างหาก

เปิดหรือปิดใช้งาน Adobe Flash Player

คำแนะนำเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับ Google Chrome บน Windows, Mac, Linux และ Chrome OS
  1. พิมพ์ chrome:plugins ในแถบที่อยู่เพื่อเปิดหน้า ปลั๊กอิน
  2. บนหน้าปลั๊กอินที่ปรากฏ ให้หารายการ "Flash"
    • หากต้องการเปิดใช้งาน Adobe Flash Player ให้คลิกลิงก์ เปิดใช้งาน ที่อยู่ใต้ชื่อ
    • หากต้องการปิดใช้งาน Adobe Flash Player อย่างสมบูรณ์ ให้คลิกลิงก์ ปิดใช้งาน ซึ่งอยู่ใต้ชื่อ
หมายเหตุ: ถ้าคุณเคยติดตั้ง Adobe Flash Player ต่างหากมาก่อนหน้านี้ คุณจะเห็นไฟล์สองไฟล์อยู่ในรายการสำหรับปลั๊กอิน ถ้าทั้งสองไฟล์อยู่ในรายการที่เปิดใช้งานอยู่ รุ่นที่มาพร้อมกับ Chrome จะถูกใช้ หากต้องการเปิดใช้งาน Adobe Flash Player ในรุ่นที่เฉพาะเจาะจง ให้คลิก รายละเอียด ที่อยู่มุมบนขวาของหน้าเว็บ จากนั้น คลิกลิงก์ เปิดใช้งาน สำหรับรุ่น Adobe Flash Player ที่คุณต้องการเปิดใช้งาน ตารางด้านล่างนี้แสดงชื่อไฟล์สำหรับรุ่นที่รวมกับ Google Chrome

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

ลงรอมโมด้วยตัวเองง่ายๆ สำหรับ Xperia Arc S

มาลงรอมโมกันครับ อันนี้ผมลองมาเยอะแล้ว มาจบที่ตัวนี้ Ultimate HD นะครับ ลื่นจริงๆ

คำเตือน : การแก้ไขรอมเครื่อง อาจทำให้เครื่องมีปัญหา หมดประกัน  ถ้าไม่กลัวก็จัดเลย แต่ไม่รับผิดชอบนะครับ

เริ่มกันเลยครับ ก่อนอื่นรอมคุณต้องเป็น Android 4.0.4 นะครับ
ROOT+Unlock bootloader ดูที่นี่ครับ  
เครดิตคุณ Shooter_MVP


ขั้นตอนที่ 1 การ root (เพื่อที่จะลงโปรแกรมที่ต้องการroot เช่น titanium backup, overclock, root explorer)

อันดับแรกให้เข้าลิงค์นี้ http://forum.xda-developers.com/showthread.php?t=1320350
ไปดาวน์โหลดตัวที่ชื่อว่า DooMLoRD_v4_ROOT-zergRush-busybox-su.zip มาซะ

1.1 เริ่มจากให้เข้า setting เข้าไป application ไปติ๊กถูกช่อง unknown sorce และเข้าไป development ติ๊กถูก USB debugging แล้วก็ไป

ปรับค่าหน้าจอให้สว่างค้างไว้ประมาณ 10 นาที(เพื่อความชัวร์ว่าจอจะไม่ดับตอนทำ)

1.2 เสียบสายUSBเข้ากับโทรศัพท์ก่อนแล้วจึงเสียบสายเข้ากับตัวเครื่อง เมื่อเสียบแล้วที่หน้าจอคอมของเราอาจมีการinstall driver ก็ปล่อย

มันลงไปจนเสร็จก่อน(เครื่องผมซื้อมาก็เสียบคอมมันก็ลงdriversให้เองเลย) หากที่หน้าจอมือถือของท่านมีถามขึ้นมาว่าจะinstall PC Companion software หรือไม่ ให้เลือก skip ไปก่อนนะครับ

1.3 เมื่อพร้อมแล้วก็แตกไฟล์DooMLoRD_v4_ROOT-zergRush-busybox-su.zip ที่เราโหลดมา จะได้โฟลเดอร์ files + คำสั่ง runme.bat
สูดหายใจลึกแล้วก็ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ runme.bat ได้เลยครับ ไม่เกิน 3 นาที ดูที่หน้าจอคำสั่งจะfinish ครับ(ถ้าผมจำไม่ผิด) จากนั้นก็ปิดเปิดเครื่องใหม่อีกรอบ เครื่องของท่านก็จะ root เรียบร้อยแล้วครับ


ขั้นตอนที่ 2 unlock bootloader (จำเป็นต้องทำถ้าจะลงรอมนอก ถ้าไม่ทำเครื่องดับเน้อ)

2.1 ก่อนอื่นเข้าลิงค์นี้ http://www.theandroidsoul.com/how-to-unlock-bootloader-xperia-arc-play-neo-pro/
เลื่อนลงมาล่างๆให้ดาวน์โหลด Unlock Xperia Arc Bootloaders.zip มาซะ

2.2 แตกไฟล์ที่โหลดมาลงคอม. ก็จะได้ 3 สิ่งนี้
drivers.zip
fastboot_with_Android_USB_file.zip
unlockbootloader.sonyericsson.com

2.3 ดับเบิ้ลคลิ๊กลิงค์เพื่อเข้าหน้าเวปไซต์หรือก๊อปไปวางในbrowserเอง “unlockbootloader.sonyericsson.com”.
เมื่อเข้าหน้าเพจได้แล้ว ก็เลื่อนลงมาล่างๆ หาคำว่า continue จากนั้นคลิ๊กโลด
จากนั้นเลือก “Yes, I’m sure” จากนั้นให้ติ๊กถูกในช่องสี่เหลี่ยมทั้งสองช่อง , จากนั้นคลิ๊ก “I accept”.

2.4 จากนั้นใส่ข้อมูลตามจริงในแต่ละช่อง
ช่องแรกให้ใส่ IMEI (อีมี่) ของเครื่องเรา 14 หลักแรก (หลักที่15ตัวสุดท้าย"อย่า"ใส่). IMEI สามารถดูได้จากข้างกล่องหรือกด *#06# แล้ว

โทรออก
ช่องสองใส่แต่ชื่อ อย่างของผมใส่แค่ kritsdapong แค่นี้พอครับ
ช่องสามใส่Emailครับ เช่น kritsdapong@gmail.com

2.5 เมื่อใส่ครบแล้วกดยืนยันเราจะได้ code ลับมา(ฟังดูดี) จากนั้นจดไว้ครับ "อย่าทำหาย" เราจะใช้ในภายภาคหน้า จากนั้นปิดโทรศัพท์ของคุณ

2.6 จากนั้น แตกไฟล์  “fastboot_with_Android_USB_file.zip” ที่คุณได้โหลดมา ในหัวข้อ 2.1-2.2

2.7 จับมือถือคุณขึ้นมา (ซึ่งแน่นอนว่าปิดอยู่นะ) กดปุ่ม “เมนู” ค้างไว้ (โดยปกติจะเป็มปุ่มที่อยู่ล่างขวาสุดของเครื่อง สัญลักษณ์เป็นขีดๆ

ซ้อนกัน), ในขณะที่กดปุ่มเมนูค้างไว้(แปลว่าอย่าปล่อย) ให้เสียบสายUSBเข้ากับมือถือเรา(แน่นอนว่าสายมันต้องถูกเสียบกับคอมก่อนอยู่ แล้ว).

2.8 เมื่อเชื่อมต่อแล้ว — ไฟ LED ข้างๆช่อง USB จะเป็นสีฟ้าขึ้นมา. ถ้ามันไม่ขึ้น ให้ทำตาม 2.7 อีกรอบ เมื่อเสร็จแล้วสังเกตหน้าจอคอม

เรา บางทีมันจะลงdriversให้แบบauto ปล่อยมันทำไป มันลงให้เราไม่ได้หรอก เพราะไม่มีdrivers 5555

2.9 ทีนี้เราจะมาลง drivers กัน

2.9.1 แตกไฟล์ “drivers.zip” ที่โหลดมาได้ในขั้นตอน 2.1-2.2

2.9.2 เปิด “Device Manager” ในคอมของคุณ(โดยการคลิ๊กขวาที่ my computer แล้วเลือก properties จากนั้นมีหน้าต่างขึ้นมาให้เลือก

device manager) จากนั้นให้หาอะไรที่ชื่อ  “S1Boot Fastboot” ซึ่งอาจอยู่ใต้หัวข้อ “Other devices” (ไปคลิ๊กมันทีนึงซะจะได้เห็น)
คลิ๊กขวาบน “S1Boot Fastboot” แล้วเลือก “Update Driver Software…”

2.9.3 จากนั้นเลือก “Browse my computer for driver software” แล้วเลือกโฟลเดอร์ที่คุณแตกไฟล์ drivers.zip เสร็จแล้ว คลิ๊ก Ok.
จากนั้นclick Next (มั่นใจด้วยว่าคุณติ๊กถูกในช่อง “Include subfolders”).

2.9.4 ถ้าคุณเห็นวินโดวส์ของคุณขึ้นเตือนอะไรขึ้นมา อย่ากังวลไป ให้เลือก “Install this driver software anyway” โลด

2.9.5 รอกระทั่งคำว่า “Windows has successfully updated your driver software” ขึ้นบนหน้าจอ(หรืออะไรที่อนุมานว่ามันเสร็จแล้ว).

จากนั้นกด close เลย

2.10 เปิดโฟลเดอร์  “fastboot” ที่คุณแตกมาในขั้นตอน 2.6

2.11 กดshiftค้างพร้อมกับคลิ๊กขวา ตรงที่ว่างตรงไหนก็ได้ในโฟลเดอร์ “fastboot” . แล้วคลิ๊ก “Open command window here” จากเมนูที่ขึ้นมา มันจะมีหน้าจอคำสั่งสีดำๆขึ้นมา

2.12 ในหน้าจอคำสั่งให้พิมพ์ไปว่า fastboot.exe -i 0x0fce getvar version  (copy ข้อความนี้ไป paste เอาก็ได้ครับ ถ้าไม่ชัวร์)

2.13 มันจะขึ้นเลขมาประมาณว่า value หรือ version(ซักอย่างจำไม่ได้) ประมาณว่า 0.3 อะไรทำนองนี้

2.14 จากนั้นพิมพ์หรือก๊อปวางคำสั่งดังต่อไปนี้            fastboot.exe -i 0x0fce oem unlock 0xKEY  คำว่า KEY นั้น ให้แทนด้วยเลข code ลับที่เราได้มาในข้อ 2.5 เช่น fastboot.exe -i 0x0fce oem unlock 0xDD102710028FC9CB เป็นต้น (อันนี้ยกตัวอย่างนะ อย่าก๊อปของผมไปใส่ล่ะ เครื่องดับไม่ริบผิดชอบเน้อ)

2.15 รอมันทำจนเสร็จสิ้นกระบวนการจนขึ้นว่า finish เสร็จแล้วดึงสายออก เปิดเครื่องได้ จากนั้นภาวนาให้เครื่องเปิดติด(555) ถ้าเปิดติดแปลว่าเรา unlock bootloader เรียบร้อยแล้วครับ


ขั้นตอนที่ 3 การลง Kernel
ผมใช้ Kernels KTG 1.52 ครับ
3.1 Download ที่นี่ http://www.mediafire.com/?44r8op68r1dzbu8
      ได้มาแล้วก็แตกไฟล์ จะได้ 2 ไฟล์ครับ

       -KTG-WLAN-v1.52.zip   เอาใส่ SD Card ไว้ด้วย เป็น Wifi Module ครับ

       -KTG_anzu_v1.52.elf  เปลี่ยน .elf เป็น .img นะครับ จากนั้นให้ย้ายไฟล์นี้ไปใส่โฟลเดอร์เดียวกับ fastboot ในคอมของท่าน(ย้อนกลับไปอ่านขั้นตอน unlock bootloader)

3.2  ปิดเครื่อง แล้วให้เข้า fastboot mode (กดปุ่ม เมนู ค้างไว้แล้วเสียบสาย usb) ไฟสีฟ้าจะติดขึ้นมาข้างช่องเสียบ

3.3 กดshiftค้าง+คลิ๊กขวา เลือก open command windows here

3.4 พิมพ์คำสั่งหรือก๊อปไปวางตามนี้    fastboot flash boot KTG_anzu_v1.52.img รอจน finish

3.5 ถอดสายออก เสร็จขั้นตอนการลง Kernel ครับ
ขั้นตอนที่ 4 การลงรอม 

สำหรับรอมที่เราจะใช้ดูที่นี่ครับ
หรือจะ Download เลยที่นี่  http://d-h.st/ftW
มาเก็บไว้ใน SD Card ก่อนเลย จะได้ xperia_ultimate_hd_ 2.0 _UNIQUE_by_jader13254@xda.zip

แล้วก็ Restart ครับ ระหว่างการ boot ที่หน้าจอขึ้น Sony พอเครื่องสั่น ไฟจะติดขึ้นมาข้างช่องเสียบ
ให้รีบ กดปุ่มลดเสียงครับ หรือ ( Volume- )
จะเข้าหน้าจอ CWM-based Recovery v5.5.0.4
1. wipe data/factory
2. Mounts and Storage --> Format /System
3. wipe cache partition
4. Advanced > wipe Dalvik
5. Advanced > Wipe Battery Stats
6. Install zip from SD card > Choose Xperia Ultimate HD เลือกลงได้เลยครับ
7. อย่าเพิ่ง Restart ครับ ให้ลง Wifi Module ก่อน  ที่เอามาจาก Kernel ครับ
    Install zip from SD card > KTG-WLAN-v1.52.zip
เสร็จแล้วก็ Restart ครับ รอนะครับ นานนิดนึง

มีปัญหาการติดตั้ง ปรึกษาได้ครับ

คราวหน้าจะมาแนะนำวิธีการเพิ่มหน่วยความจำเครื่องโดยใช้ SD Card กันครับ

วิธีดูแลรักษารองเท้าหนัง

วิธีดูแลรักษารองเท้าหนัง

ชนิดของหนัง: หนังนิ่ม, หนังเรียบเงา, หนังขัดเหลือบ, หนังโพลิชชิ่ง
1. ทำความสะอาดโดย ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือใช้ครีมที่มีคุณสมบัติสำหรับใช้ทำความสะอาดเครื่องหนัง
2. ใช้ผ้าแห้งเช็ดให้แห้ง
3. ลงยาขัดชนิดครีม หรือชนิดน้ำที่มีคุณสมบัติให้ความมันและความชุ่มชื้น เพื่อช่วยให้หนังทนทานและไม่แห้ง
4. ทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้น้ำยาซึมผิว และใช้แปรงขัดขนนุ่ม ขัดให้ทั่วเพื่อความเงางาม
6. ใช้ที่รักษารองเท้าใส่ไว้หลังการใช้งาน เพื่อรักษารูปทรงให้อยู่ในสภาพดี

ข้อควรระวัง :
- การลงยาขัดเงาต่างๆ ไม่ควรลงหนาจนเกินไป
- ยาขัดที่ใช้ควรเลือกสีที่ตรงกับสีหนัง หากไม่มีสีตรงกับสีหนัง, เป็นรองเท้าหนังสีสลับหรือหนังขัดเหลือบให้ใช้น้ำยาขัดสีใส


ชนิดของหนัง: หนังนูบัก, หนังกลับ, หนังชามัว
1. ใช้แปรงสีฟันชุบน้ำหมาดๆ ปัดเบาๆ ทำความสะอาดเฉพาะบริเวณคราบสกปรก แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
2. ปัดหนังด้วยแปรง(ขนนุ่ม)ที่แห้ง เพื่อให้ขนเรียบสม่ำเสมอ
3. ฉีดสเปรย์ด้วยน้ำยาที่ใช้เฉพาะกับหนังชนิดนั้นๆ เพื่อรักษาคุณภาพสีและคุณภาพหนัง
4. ใช้ที่รักษารองเท้าใส่ไว้หลังการใช้งาน เพื่อรักษารูปทรงให้อยู่ในสภาพดี

ข้อควรระวัง :
- การทำความสะอาดด้วยน้ำต้องทิ้งไว้ให้แห้งเสมอ
- ห้ามใช้ครีมทำความสะอาด หรือใช้ยาขัดเงา


ชนิดของหนัง: หนังแก้ว, หนังอัดลาย, หนังเปียก
1. ทำความสะอาดโดย ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือใช้ครีมที่มีคุณสมบัติสำหรับใช้ทำความสะอาดเครื่องหนัง
2. ใช้ผ้าแห้งเช็ดให้แห้ง
3. ใช้ที่รักษารองเท้าใส่ไว้หลังการใช้งาน เพื่อรักษารูปทรงให้อยู่ในสภาพดี

ข้อควรระวัง :
- งดการใช้น้ำยาขัดเงาทุกชนิด


ชนิดของหนัง: หนังฟอกฝาด, หนังฟอกออยล์
1
. ทำความสะอาดโดย ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ทำความสะอาดครบสกปรก
2. ทิ้งไว้ให้แห้ง
3. ใช้แปรงชุบหรือปัดกับยาชนิดครีม แล้วแปรงปัดให้ทั่วทั้งคู่
4. ใช้ที่รักษารองเท้าใส่ไว้หลังการใช้งาน เพื่อรักษารูปทรงให้อยู่ในสภาพดี

ข้อควรระวัง :
- การลงยาขัด,ยาเงาควรลงบางๆ ไม่ควรลงหนามากจนเกินไป และไม่ควรลงยาขัดบนหนังโดยตรง
- ยาขัดที่ใช้ควรเป็นแบบสีใส และ ห้ามใช้ครีมทำความสะอาด

------------------------------------------------------
กลุ่มเครื่องหนังนูบัค หนังกลับ หนังชามัวซ์

1. แปรงหนังกลับชนิดตลับ ใช้ปัดทำความสะอาดเครื่องหนังที่มีขน เช่น หนังกลับ หนังนูบัค การทำงานของแปรงจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์ที่จะปรับสภาพขนให้ฟูขึ้นและดึงสิ่ง สกปรกออกจากเครื่องหนังในเวลาเดียวกัน การปัดที่ถูกต้องควรปัดไปในทิศทางเดียวกัน
2. สเปรย์ป้องกันน้ำและฝุ่น ใช้สำหรับฉีดป้องกันน้ำ และ สามารถป้องกันคราบสกปรกจากฝุ่นละออง ในกรณีที่อุปกรณ์เครื่องหนังต้องเผชิญกับความชื้นสูงหรือน้ำกระเด็นใส่ สามารถใช้ได้กับเครื่องหนังทุกชนิดตั้งแต่หนังเรียบ หนังนูบัค หนังกลับ หนังผสม เต็นพักแรม และ กลุ่มผ้าหรือผ้าใบ

กลุ่มเครื่องหนังเรียบ หนังออยล์ หนังฟอกฝาด

1. ครีมละเอียดอ่อน ลักษณะเป็นเนื้อครีมค่อยข้างเหลว มีคุณสมบัติบำรุงหนังให้หนังชุมชื้นและเงางาม, เพิ่มกลิ่นหอมให้เครื่องหนัง และมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดอ่อนๆครับ แต่ด้วยเนื้อครีมที่ค่อนข้างเหลวปริมาณการใช้/กระเป๋าก็จะได้ไม่มากเท่าา ไหร่
2. ครีมดับบิ้น ลักษณะเป็นเนื้อขี้ผึ้งสีน้ำตาลอ่อนๆ มีคุณสมบัติบำรุงหนังให้หนังชุมชื้นและเงางาม, เพิ่มสีหนังให้เข้มขึ้นเล็กน้อย เหมาะกับหนังสีเข้มเช่น สีน้ำตาลหรือสีดำ ใช้ได้นานเพราะป้ายนิดเดียวก็สามารถเช็ดกระเป๋าได้เกือบทั้งใบครับ
3. มิงค์ออยล์ ลักษณะเป็นเนื้อขี้ผึ้งสีขาวใส มีคุณสมบัติบำรุงหนังให้หนังชุมชื้นและเงางาม(จะเงากว่าดับบิ้นเล็กน้อย) เหมาะกับหนังทุกสี ใช้ได้นานเพราะป้ายนิดเดียวก็สามารถเช็ดกระเป๋าได้เกือบทั้งใบครับ
4. ครีมทำความสะอาด ใช้ทำความสะอาดหนังเรียบ เหมาะสำหรับ กระเป๋าหนัง รองเท้าหนัง เบาะรถยนต์ และอุปกรณ์ PVC และ ถนอมรักษาหนังให้คงสภาพ
5. สเปรย์ป้องกันน้ำและฝุ่น ใช้สำหรับฉีดป้องกันน้ำ และ สามารถป้องกันคราบสกปรกจากฝุ่นละออง ในกรณีที่อุปกรณ์เครื่องหนังต้องเผชิญกับความชื้นสูงหรือน้ำกระเด็นใส่ สามารถใช้ได้กับเครื่องหนังทุกชนิดตั้งแต่หนังเรียบ หนังนูบัค หนังกลับ หนังผสม เต็นพักแรม และ กลุ่มผ้าหรือผ้าใบ
6. แปรงขนม้า ใช้ปัดทำความสะอาดหรือขัดเงาในกลุ่มหนังเรียบโดยไม่เกิดริ้วรอย และสามารถปัดฝุ่นหรือขนสัตว์ที่ติดตามเสื้อผ้าได้ ใช้ปัดทำความสะอาดก่อนทาผลิตภัณฑ์บำรุงหนัง หรือทำความสะอาดหนัง และใช้ขัดหนังหลังทาผลิตภัณฑ์บำรุงหนังเพื่อให้เนื้อครีมซึมแทรกเข้าไปใน เนื้อหนังแท้
7. ผ้าเช็ดทำความสะอาด ใช้ควบคู่กับ ครีมละเอียดอ่อน, ดับบิ้น, มิงค์ออยล์ และครีมทำความสะอาด



การซื้อ App. แบบ "ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต" บนมือถือ Andriod ทุกรุ่น

สำหรับคนที่ใช้ Smartphone เวลาเจอ App. ดีดีถูกใจมากๆ แล้วอยากซื้อเก็บมาใช้  คนที่มีบัตรเครดิตก็สามารถโหลดได้อย่างสบายไม่มีปัญหา  แต่สำหรับคนที่ "ไม่มีบัตรเครดิต" ล่ะ?  ดูเหมือนจะยุ่งยากมากกว่า  บางทีต้องยืมหรือให้คนที่มีบัตรเครดิตซื้อให้  ซึึ่งดูจะยุ่งยากมากมายเลย  จนหลายๆ ครั้ง ทำให้เราอดได้ App. ดีดีไปโดยปริยาย  แต่วันนี้ใครที่ใช้ AIS อยู่ สามารถซื้อ App. ดีดีได้แสนง่าย โดย "ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต" อีกต่อไปแล้วนะครับ........



โดยบริการนี้เรียกว่า "AIS mPay MasterCard" ที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นเองครับ  ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้เราสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ต่างๆ ด้วยสิทธิพิเศษและส่วนลดที่เหนือกว่า โดยการตัดเงินจาก mCASH หรือเงินที่เราเติมเข้า mPAY นั่นเอง  นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตเลย  เป็นวิธีการที่ง่าย สะดวกสบายและปลอดภัยสุดๆ สำหรับยุค Social แบบนี้ครับ ซึ่งผมได้ลองใช้ AIS mPAY MasterCard ไปซื้อ App ใน Play Store ดูปรากฏว่าก็ทำได้เช่นเดียวกับการใช้บัตรนี้ซื้อของออนไลน์ ก็เท่ากับว่าถึง แม้เราจะไม่มีบัตรเครดิต เราก็สามารถซื้อ App ซื้อ Sticker ใน Line ได้สบายๆเลย ตอบโจทย์เด็กแน่นอนครับ ส่วนวิธีการก็ไม่ยาก ลองทำตามกันดูได้เลย  (อ่อ บริการนี้เฉพาะลูกค้า AIS เท่านั้นนะครับ)
ขั้นตอนที่ 1 Download App. mPAY (ฟรี) ใน Play Store ครับ






ขั้นตอนที่ 2 หลังจากการโหลดและติดตั้งเสร็จแล้ว ให้สมัครบริการ mPAY ครับ ดังนี้
2.1. เข้า mPAY App และเลือก iCon "AIS mPAY MasterCard"
2.2. เลือกเมนู "เข้าใช้งาน"
2.3. อ่านทำความเข้าใจและกดยอมรับ "ข้อกำหนด และเงื่อนไขการให้บริการ" แล้วกดปุ่มตกลง
2.4. กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนแล้วกดปุ่มตกลง
2.5. กดลงชื่อเข้าใช้งาน mPay
2.6. เลือก AIS mPAY MasterCard > เปิดการใช้งานบัตร > อ่านทำความเข้าใจและกดยอมรับ "เปิดการใช้งานบัตร" แล้วกดปุ่มตกลง
2.7 ลูกค้าก็จะสามารถเปิดบัตรได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมกับจะได้รับ SMS ยืนยันจากระบบด้วยครับ




หลังจากสมัครบริการสำเร็จ ก็ให้เราทำการเติมเงิน mCASH ที่ตู้ ATM ให้พอกับยอดเงินที่จะใช้ครับ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถกดดูได้จากเมนูในตัว App. เลยครับ


หลังจากเติมเงินเสร็จ สามารถกดเข้า App. เพื่อเข้าไปเช็คยอดเงินได้ จากเมนู AIS mPay MasterCard > บัตรของฉัน เราก็จะเห็นว่าตรง Card Balance มียอดเงินที่เราเติมเข้าไปแล้วครับ



ขั้นตอนที่ 3 ทีนี้เราก็มาลองซื้อ App ใน Play Store กันเลย  ผมทำการทดสอบซื้อ App. Smart Tools แล้วกันครับ


ขั้นตอนที่ 4 ระบบจะให้เราเลือกประเภทของบัญชีที่ต้องการหักเงินครับ ในที่นี้ให้เราเลือกที่ "Master Card" นะครับ


 ขั้นตอนที่ 5 ใส่หมายเลขบัตร AIS mPay ทั้ง 16 หลัก และกรอกข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วนครับ
 


ขั้นตอนที่ 6 เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จครบถ้วน เราก็สามารถกด "BUY" เพื่อซื้อ App. และใช้งานได้เลยทันที  นอกจากนี้ลูกค้าก็จะได้รับ SMS จาก mPAY ยืนยันทำรายการตัดเงินจาก AIS mPAY MasterCard สำเร็จอีกด้วยครับ





เพียงเท่านี้ เราก็จะได้ App. ดีดีที่เราต้องการ ผ่านการซื้อด้วย AIS mPay MasterCard ได้ โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต  และสามารถซื้อสินค้าออนไลน์อื่นๆ ผ่านเว็ปไซต์ต่างๆ ที่รองรับรับการชำระเงินผ่าน MasterCard อีกด้วย  ถือว่า AIS ทำบริการนี้ออกมาตอบโจทย์สังคมในยุคที่อินเตอร์เน็ตแรงๆ แบบนี้ได้อย่างดียิ่ง แถมบริการนี้ยังสามารถใช้ได้กับมือถือ Andriod ทุกรุ่นตั้งแต่ราคาถูกยันแพงได้เลย  ผมเลยเอารีวิวที่มีประโยชน์นี้มาฝากเพื่อนๆ เผื่อใครสนใจก็สามารถเข้าไปใช้บริการกันได้เลยนะครับ
  รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.ais.co.th/mpay/aismpaymastercard/

ตั้งค่า เลือกใช้งาน wireless network ที่ต้องการ บน Windows 7 โดยอัตโนมัติ


หากคุณเคยตั้งค่าให้ คอมพิวเตอร์ จดจำ wireless network ที่ คุณเชื่อมต่อใช้งานอยู่เป็นประจำ เอาไว้แล้ว ครั้งต่อไปเมื่อมีการเปิดใช้งาน wireless คอมพิวเตอร์ จะเชื่อมต่อ สัญญาณ wireless ที่เคยจดจำไว้ โดยอัตโนมัติ แต่ในบางครั้ง ในสถานที่เดียวกัน อาจจะมี wireless network หลายตัว ที่คุณเคยเชื่อมต่อใช้งานมาแล้ว เช่น ในที่ทำงาน อาจจะมี wireless router สองตัว และนอกจากนี้แล้วยังไม่ สัญญาณ wireless จาก True Wi-fi hotspot หรือ 3BB hotspot อยู่ด้วย คอมพิวเตอร์ของคุณ อาจจะเลือก Log in เข้าใช้งาน เครือข่าย wireless ผิดตัว เช่น เลือกเชื่อมต่อเข้ากับ True Wi-fi hotspot แทนที่จะเชื่อมต่อเข้าใช้งาน wireless ของที่ทำงาน เป็นต้น
จึงอยากจะแนะนำ วิธีการตั้งค่า ลำดับความสำคัญ (priority) ให้กับ wireless network เพื่อให้ คอมพิวเตอร์ เลือกเชื่อมต่อเข้าใช้งานแบบอัตโนมัติ กับเครือข่าย ที่คุณกำหนดความสำคัญให้มากที่สุด อยู่เสมอ  ซึ่งการตั้งค่าจะคล้ายๆ กัน ทั้งบน Windows Vista และ Windows 7 ครับ

ตั้งค่า priority ให้กับ Wireless network

1. ไปยัง System Tray บน Taskbar windows ซึ่งอยู่บริเวณมุมล่างขวามือสุดของหน้าจอ แล้วคลิ๊กเลือกปุ่ม “network connection“ 



2. เลือก “Network and Sharing Center” เพื่อเข้าไปยังหน้าการตั้งค่าการเชื่อมต่อบน network จากนั้น Windows จะเปิดหน้า Windows Settings ใหม่ขึ้นมา
3. บริเวณเมนูที่ปรากฎทางด้านซ้ายมือ ให้เลือก “Manage Wireless Netwok“ 


4. หน้าต่างใหม่จะปรากฎขึ้นมาอีก 1 อัน เพื่อแสดงรายการ เครือข่าย wireless ทั้งหมด ที่ คอมพิวเตอร์ของคุณเคยเชื่อมต่อด้วย และเลือกให้จดจำเอาไว้ ซึ่งจะจัดเรียง ตามลำดับความสำคัญจากมากสุด ลงไปถึงน้อยสุด ซึ่ง เครือข่าย wireless ที่อยู่บนสุด จะเป็น เครือข่าย ที่จะถูกเลือกใช้งานแบบอัตโนมัติก่อนเมื่อ คอมพิวเตอร์ ตรวจพบ

5. คลิ๊กเลือก ที่ชื่อของ เครือข่าย wireless ที่ต้องการ จากนั้นบนแถบเมนู ด้านบน จะมีปุ่ม “Move Up” และ “Move Down” อยู่ หากต้องการให้ เครือข่าย wireless ตัวไหน ให้มีความสำคัญสูงสุด ก็กดปุ่ม “Move Up” เพื่อเลื่อนให้ไปอยู่บนสุด หรือ ต้องการลดความสำคัญก็ “Move Down” ครับ


6. คุณยังจะสามารถตั้งค่าจัดการ เครือข่ายไวเลส อื่นๆ ได้ในหน้านี้ เช่น :
- ลบ เครือข่ายไวเลส ที่จดจำไว้ ออกจาก คอมพิวเตอร์ ให้กดเลือก เครือข่าย และตามด้วยปุ่ม “Remove“ 
- เพิ่ม เครือข่ายไวเลส ให้กดเลือกปุ่ม “Add
- หากคุณมี wireless adapter หลายตัวบน คอมพิวเตอร์ เครื่องเดียว ให้กดเลือก “Change adapter” เพื่อ เลือก wireless adapter ที่ต้องการ ครับ
เมื่อคุณตั้งค่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถปิดหน้าต่างทั้งหมดได้ และในครั้งต่อไป เมื่อคุณเปิด คอมพิวเตอร์ ขึ้นมาใช้งาน คอมพิวเตอร์ จะเลือก Wireless ตาม ลำดับความสำคัญ ที่คุณกำหนดไว้ก่อนครับ

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

วิธีแก้ไวรัสซ่อนไฟล์ ได้ทุกกรณี 100%

 แก้ไวรัสซ่อนไฟล์ ได้ทุกกรณี 100% วิธีนี้ใช้ได้เกือบจะทั้งหมด เพราะ วินโดว์ จะมี OS แถมมาให้อยู่แล้ว
เอามาประยุกต์ใช้กับ Card Reader หรือ ไดรฟ์อื่น ในเครื่องก็ได้นะ
หรือถ้าโดนไวรัส บล็อค Folder option ก็สามารถแก้ได้
เสียบแฟลชไดรฟ์ แล้ว สังเกตุว่า แฟลชไดรฟ์ คุณอยุ๋ที่ไดรฟ์ไหน
ยกตัวอย่างเช่น ของผม อยู๋ไดรฟ์ H:
หลังจากนั้น เข้าไปที่ Command Propmt โดยการ
เข้าไปที่ Start ---> Run ---> แล้วพิมคำว่า cmd แล้วกด Enter
หรืออีกวิธี
เข้าไปที่ Start —>;Programs—–>Acessories——>Command Propmt
จะเข้าหน้าจอดังนี้
C:\Document and Settings\Administrator> (บางคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ไม่ต้องสนใจ)
อันนี้คือหน้าจอ Os เครื่องผม (โบราณได้อีกก แง้วว… )
ผมลง Windows ไว้ ไดรฟ์ G: เลยเป็น G:\Document and Settings\\Administrator>
ขั้นตอนที่ 2 ให้เราพิมพ์ คำสั่ง เพื่อสลับไปที่ ไดรฟ์แฟลชไดรฟ์ เช่น แฟลชไดรฟ์ผมอยุ่ H:
G:\Document and Settings\Administrator> h: <—– พิม h: แล้วกด Enter
จะมาขึ้นดังนี้
H:\\
(อันนี้ แล้วแต่ว่า แฟลชไดรฟ์ คุณอยู่ ไหน ถ้า อยู๋ที่ G: ก็พิมพ์ g: )
หลังจากนั้นเป็นส่วนสำคัญคือการ ใส่คำสั่งAttribute
H:\\attrib *.* -s -h -a -r /d /s (เว้น ช่องไฟด้วยนะครับ)
แล้วรอซํกครู่ ให้มันทำงานจนกลับไปที่
H:\\

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

การตั้งค่า ActiveX Internet Explorer เพื่อดูภาพกล้องวงจรปิดผ่านอินเตอร์เน็ต หรือผ่านเครือข่าย


Internet  Explorer  (ควรเป็นเวอร์ชั่ว 7 ขึ้นไปนะครับ) 
  1. ตั้งค่า ActiveX  ของโปรแกรม Internet Explorer  เพื่อให้สามารถเปิดดูการแสดงผลของกล้องได้
  2. คลิกที่ เมนู Tools  > เลือก  Internet Options
     
  3. จะปรากฏหน้าต่างดังล่าง  คลิกไปที่แทบ Security  >  เลือกไปที่ปุ่ม Custom level….
     
  4.  ขึ้นหน้าต่าง  Security  Setting  ให้เลื่อนลงไปที่ ActiveX  Controls   แล้วเลือกตามภาพด้านล่างครับ
  5. เมื่อเลือกรายครบแล้ว  ให้คลิกที่ปุ่ม  OK  จะขึ้นหน้าต่างยืนยัน  ให้คลิก Yes   และคลิก OK อีกครั้ง




สวิทซ์กันไฟดูด ELCB เครื่องทำน้ำอุ่น ที่ทุกคนควรรู้

เกร็ดความรู้เรื่องสวิทซ์กันไฟดูด ELCB เครื่องทำน้ำอุ่น ที่ทุกคนควรรู้

ELCB ในเครื่องทำน้ำอุ่น
วันนี้ขอนำเอาเรื่องสวิทซ์กันไฟดูดมาคุยให้ท่านฟังกัน เพราะไปซุปเปอร์สโตร์แห่งหนึ่งเห็นคนไปหาซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วคนขายก็ โฆษณาว่าภายในเครื่องทำน้ำอุ่นเหล่านั้นมีสวิทซ์กันไฟดูดเรียบร้อยหายห่วง ก็เลยรู้สึกเป็นห่วงว่า คำว่าหายห่วงนั้น พูดให้ลูกค้าฟังเมื่อยามต้องการขาย พอขายเครื่องน้ำอุ่นได้แล้ว ติดตั้งเสร็จแล้ว คนขายก็คงหายห่วง แล้วห่วงก็ตกไปอยู่ที่คนซื้อ หรือ ผู้ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นนั้นแทน เพราะไม่เห็นความสำคัญของการที่ไฟฟ้าจะดูดคนใช้เครื่องทำน้ำอุ่นซึ่งอาจจะ อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่พูดเอาง่ายเข้าว่า เพื่อให้ขายได้ง่าย ขายได้จำนวนมาก ให้ทันต่อโอกาสที่นานปีทีหนจะมีอากาศหนาวเย็นเช่นปีนี้
อันคำว่า ELCB นั้นย่อมาจากคำว่า Earth Leakage Circuit Breaker ซึ่งจะหมายถึงสวิทซ์ตัดตอนชนิดพิเศษ หมายถึงคัทเอ้าท์ชนิดพิเศษ หมายถึงเบรคเกอร์ชนิดพิเศษ หมายถึงสพานไฟชนิดพิเศษ อะไรก็แล้วแต่สุดจะเรียกขานกันแบบชาวบ้านๆ เพื่อให้รู้ว่า สวิทซ์ตัดตอนพิเศษนี้จะไม่เหมือนกับ สวิทซ์ตัดตอน หรือ คัทเอ้าท์ ตัดไฟทั่วไปที่มีอยู่เพื่อใช้ควบคุมไฟของทุกบ้าน เพราะสวิทซ์ตัดตอนชนิดพิเศษนี้จะตัดไฟฟ้าที่รั่ว หรือตัดไฟฟ้าที่ชอร์ท หรือไฟดูดคน ในขนาดที่ไม่เกิน 30mA สวิทซ์ตัวนี้ก็จะทำหน้าที่ตัดไฟทันที ก่อนทีจะอันตรายถึงแก่ชีวิต ถ้าเกิดไฟดูดคนในเวลาที่ไม่เกิน 0.01-0.04 วินาที สวิทซ์ตัวนี้ต้องตัดไฟทันที ซึ่งต่างจากเบรคเกอร์ธรรมดาที่จะตัดไฟเมื่อเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือตัดไฟเมื่อใช้กระแสเกินกำลังไฟที่มีระบุอยู่บนตัวเบรคเกอร์นั้น เช่นถ้าเกิน 10 แอมป์ 15 แอมป์ 20 แอมป์ หรือ 30 แอมป์ เบรคเกอร์ก็จะตัดไฟทันที แต่ถ้าใช้ผิดประเภทเช่น เอาเบรคเกอร์ธรรมดามาต่อกับเครื่องทำน้ำอุ่น พอเกิดไฟรั่วดูดคน เบรคเกอร์ธรรมดาก็จะไม่ตัดไฟ จนกว่าจะมีไฟกระชากอย่างรุนแรง ซึ่งถ้าเทียบกับคนโดนไฟดูดก็อาจจะหมายถึงว่าในยามนั้น คนที่โดนไฟดูดไม่อยู่แล้ว ตายไปนานแล้วด้วย ที่ว่าอันตรายก็เพราะว่ารูปลักษณะภายนอกของตัวสวิทซ์กันไฟดูดแบบที่มี จำหน่ายทั่วไปนั้น รูปร่างหน้าตา คล้ายกับ เบรคเกอร์ธรรมดา มากทีเดียว สวิทซ์กันไฟดูดจะต้องเขียนชื่อว่า เป็น ELCB มีระบุว่าเป็นชนิด 30mA อาจจะมีแบบ 25mA หรือ 15mA ยิ่งน้อยยิ่งดี และที่จะต้องมีก็คือปุ่มกดทดสอบการรั่วของสวิทซ์ คือเมื่อกดปุ่มแล้วสวิทซ์ก็จะเด้งกลับอยู่ในสถานะ “ปิด” ซึ่งสวิทซ์กันไฟชอร์ทนั้จะไม่มีคุณสมบัติเช่นว่านี้
และที่พูดถึงเครื่องทำน้ำอุ่นก็เพราะว่า ช่วงฤดูหนาวอย่างนี้ เครื่องทำน้ำอุ่นขายดี ขายดีมาก ติดตั้งแทบไม่ทัน คนขายก็ขายไป ช่างติดตั้งก็ติดตั้งไป อุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้กับเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้านั้นก็จะต้อง เข้มงวดจัดเตรียมกันให้ถูกต้องทุกขั้นตอน จะทำแบบมักง่ายอะไรก็ได้อย่างไรก็ได้นั้น ไม่ได้เด็ดขาด เครื่องทำน้ำอุ่นชนิดใช้ไฟฟ้านั้น มี 2 ประเภทคือ มีประเภทแรกจะมีสวิทซ์กันไฟดูดติดตั้งอยู่ภายในตัวเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น และ อีกประเภทหนึ่งก็คือไม่มีสวิทซ์กันไฟดูดอยู่ในตัว จะต้องติดตั้งอยู่ภายนอก ทั้งสองประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกันเล็กน้อยคือ ประเภทแรก ข้อดีที่มีสวิทซ์อยู่ภายใน ส่วนข้อเสียก็คือมองไม่เห็นการทำงาน หรือไม่สามารถเห็นว่าสวิทซ์กันไฟดูดตัวที่อยู่ภายในเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น อยู่ในสถานะใด “ปิด” หรือ “เปิด” ข้อเสียอีกข้อหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าจะนำเอาสวิทซ์กันไฟดูดไปติดอยู่ภายในตัว เครื่องที่ใช้กระเดื่องพล้าสติก เหมือนแขนกล ในการเลื่อน หรือ ดันสวิทซ์กันไฟดูดนี้ให้ทำงาน และ ในทางกลับกันก็ใช้ปุ่มกดสปริงเลื่อน หรือ ดันสวิทซ์ปิดสวิทซ์กันไฟดูดเมื่อเลิกใช้งาน พบบ่อยมากที่สวิทซ์กันไฟดูดนี้ค้างอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ปิด เรียกว่าหากมีไฟดูดผู้ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นนี้ ถ้าสวิทซ์ค้างก็จะกลายเป็นโศกนาฎกรรมทันที เพราะไฟจะรั่วตลอดเวลา นี่คือจุดอ่อนจุดหนึ่ง สำหรับประเภทที่สอง ที่ติดตั้งสวิทซ์กันไฟดูดอยู่ภายนอกตัวเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น ข้อดีก็คือสามารถเห็นการทำงานของสวิทซ์ว่าอยู่ในสถานะใด ข้อเสียก็คือ หากผู้ขาย หรือ ช่างหยิบสวิทซ์กันไฟดูดผิด กลับไปหยิบเอาสวิทซ์กันไฟชอร์ทนี่ก็เป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งที่จะต้องพึงระวัง
วิธีการแก้ประเภทที่มีสวิทซ์กันไฟดูดอยู่ภายในตัวเครื่องทำน้ำอุ่นก็คือ จะต้องควบคุมการติดตั้ง และ ต่อสายไฟฟ้าเข้าเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยผู้ควบคุมการติดตั้งที่มีความรู้ อาจจะเป็นวิศวกรไฟฟ้า หรืออาจจะเป็นช่างไฟฟ้าที่ได้รับการฝึกฝนอย่างชำนาญมาแล้ว ต่อสายไฟฟ้าสาย Live และ สาย Neutral ให้ตรงตำแหน่งที่ระบุอยู่ในตัวเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น ดูเครื่องหมาย L sinv ให้ชัดเจน อย่าดูสีของสายไฟอาจจะสับสน และที่สำคัญที่สุด จะต้องต่อ “สายดิน” การต่อสายดินให้ได้ผลสายไฟจะต้องไม่เล็กกว่า เบอร์ 10 และจะต้องต่อไปยังแท่งกราวด์รอดซึ่งเป็นแท่งโลหะเคลือบทองแดง ที่ยาวไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตร ฝังลงดินที่มีความชื้นมากเช่นใกล้กับน้ำในดิน ถ้าแท่งกราวด์รอดที่ตอกลงไปแถบนั้นชื้นไม่พอก็ควรจะตอกอีกอันหนึ่งในบริเวณ ที่ชื้นเช่นว่าแล้วต่อสายมาพ่วงกับสายเส้นแรก เพื่อให้เพิ่มความแน่นอนก็การต่อสายดิน เช่นนี้ยามใดที่เกิดไฟรั่วไฟจะรั่วลงดินก่อนที่จะดูดคน ก็เพิ่มความปลอดภัยขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เรื่องต่อสายดินนี้จะต้องต่อแน่นอน ไม่ต่อไม่ได้ ไม่ว่าคนขายหรือช่างจะบอกว่าในเครื่องมีสวิทซ์กันไฟดูดอย่างดีก็อย่านิ่งนอน ใจ คนที่จะโดนไฟดูดคือคนที่ใช้เครื่องไม่ใช่คนขาย หรือ คนติดตั้ง ขอให้สังเกตุให้ดีถ้าเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นยี่ห้อที่รับผิดชอบต่อผู้ใช้จะมี เขียนตัวอักษรสีแดง อ่านชัดถ้อยชัดคำว่า “อันตรายถึงแก่ชีวิต ถ้าไม่ติดตั้งสายดิน” นี่คือคำเตือนสำหรับผู้ที่จะอยู่อย่างปลอดภัยก็ด้วยความไม่ประมาท
ผู้เขียนเคยไปพักโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ ก่อนอาบน้ำก็สำรวจพบว่าเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นแบบราคาถูก ชนิดที่ไม่มีสวิทซ์กันไฟดูดอยู่ภายใน เมื่อตรวจไปดูสวิทซ์ที่แทนที่จะเป็นสวิทซ์กันไฟดูดกลับกลายเป็นสวิทซ์กันไฟ ชอร์ทมาใส่แทน สำรวจต่อไปอีกก็พบว่าไม่มีการต่อสายดินเลย จึงไม่กล้าใช้เครื่องทำน้ำอุ่นนั้น ยอมไม่อาบน้ำดีกว่าตายไม่ทันสั่งเสีย ถามว่าหากเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นมา เจ้าของสถานที่ก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหว จึงอยากจะขอให้ทุกท่านจงรอบคอบ ซื้อของใช้ไฟฟ้าอย่ามุ่งเน้นแต่ราคาถูกอย่างเดียว ความปลอดภัยจะต้องมาก่อนเสมอ จะซื้อทั้งทีก็ซื้อของที่ไว้ใจได้ ซื้อร้านที่ไว้ใจได้ ราคาตามงบที่เรามีอยู่ ช่างต้องเก่งและซื่อสัตย์ รูปประกอบบทความในวันนี้คือ ELCB ยี่ห้อ Kyokuto รุ่น KD-LS2123 เป็นรูปเฉพาะส่วนหน้าของตัวเป็นป้ายระบุยี่ห้อคุณสมบัติ คันโยกเปิดปิดก็มีสัญญลักษณ์ ว่า On-Off ด้านขวาก็จะระบุว่าเป็นชนิดที่ใช้กับไฟเฟสเดียว 2 สาย ความไวในการตัดวงจรเมื่อเกิดไฟรั่ว หรือ ไฟดูดก็คือ ไม่เกิน 15mA และ ตัวนี้เป็นเบรคเกอร์ด้วย รองรับการใช้งานได้ไม่เกิน 30 แอมป์ และ มีปุ่มกดทดสอบความปกติของตัวสวิทซ์กันไฟดูดนี้คือปุ่มที่เขียนว่า Test ถ้าสวิทซ์กันไฟดูดตัวนี้ปกติ เมื่อกดปุ่มนี้แล้วคันโยกปิดเปิดก็จะเด้งตกลงมาอยู่ในสถานะ “ปิด Off” แสดงว่าปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง หน้ากระดาษหมดพอดี พบกันใหม่ สวัสดีครับ จาก มิสเตอร์ วินโดว์

กล้องอินฟาเรด CCTV

  กล้องอินฟาเรด
   
     กล้องวงจรปิดแบบอินฟาเรด Infrared Camera คุณสมบัติที่เด่นชัดที่สุดใน
การเป็นกล้องอิฟาเรดก็คือ การที่สามารถจับภาพในที่มืดได้ คิดว่าหลายๆ
คนก็คงจะรู้ในจุดนี้กันมาแล้วไม่มากก็น้อย
 แล้วอะไรบ้างหละที่เป็นปัจจัยที่ทำให้
ตัวกล้องวงจรปิดแบบอินฟาเรดสามารถมองเห็นในที่มืดๆ หรือที่มีแสงน้อยๆ ได้
จะมีอยู่ 2 อย่างทีเป็นตัวเปรียบเทียบว่าสามารถมองเห็นในที่มืดได้ในระดับไหน
นั่นก็คือ ค่า Lux ของ( illuminance หรือ illumination ) ของแสง
     ส่วนอีกอันจะเป็นเรื่องของ LED  คือจำนวนของมันมากน้อยแค่ใหน
ยิ่งมากก็สามารถทำให้ระยะทางดูภาพได้ไกลขึ้น
ปกติแล้วกล้องอินฟาเรดจะมีค่า Lux เท่ากับ 0 ครับแต่มันก็จะมีระยะของมัน
ในกล้องวงจรปิดแต่ละตัวว่าสามารถมองเห็นไปได้ไกลแค่ไหน คือสำคัญที่ว่าค่า
Lux ยิ่งน้อยยิ่งมองเห็นได้เป็นขาวดำครับในที่ยิ่งมืดๆ
     นั่นก็คือจำนวน LEDs ยิ่งมีจำนวนมากก็จะยิ่งดี มันเป็นตัวเสริมในหลายๆ
อย่างของความสามารถที่มองเห็นในที่ ที่มีแสงน้อยๆ ได้




ความเหมาะสมในการใช้งาน
     ลักษณะเด่นกล้องชนิดอินฟาเรด คือ เป็นกล้องที่มีเม็ด LED ในตัวทำหน้าที่เปล่งแสง
นำทางเพื่อเพิ่มแสงในระยะทางมองของกล้อง โดยแสงอินฟาเรดจะพุ่งไปในระยะที่ถูก
กำหนดจากนั้นแสงจะตกกระทบวัตถุแล้วเกิดการสะท้อนกลับมายังหน้ากล้อง เนื่องจากเม็ด
LED เป็นสีแดงผลภาพที่ได้จึงเป็นสีขาวดำ แต่ในสภาวะที่แสงเพียงพอกล้องจะมีภาพออก
เป็นสีธรรมชาติปรกติ จึงเป็นเหตุให้กล้องชนิดนี้สามารถมองได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน
ในสถานที่มืดสนิทได้ สามารถติดตั้งได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร โดยไม่จำเป็นต้อง
ใส่ชุดป้องน้ำ ฝุ่นเพิ่มเติม ชุดอินฟาเรดสามารถมองได้ตั้งแต่ระยะ 10,15,20,25,30,35,40,50 เมตร
มีให้เลือกใช้ทั้งระบบแสงกระจาย และแสงยิงไกล หากติดตั้งนอกอาคาร มีรุ่นที่มีพัดลมภายในเพื่อ
การระบายความร้อนได้ มีรุ่นที่สามารถปรับเลนท์ได้ ความละเอียดภาพสูงๆ
และใช้ระบบไฟฟ้าแบบ 12V กระแสตรง หรือ เป็นแบบไฟ 220V กระแสสลับ ก็มี

     การติดตั้งควรติดตั้งลักษณะที่เหมาะสำหรับ ในจุดที่ทึบแสง ไม่มีแสง หรือแสงเข้าไม่ถึง
หรือมุมภาพที่แสงน้อยในบางเวลา ทั้งภายนอกหรือภายในก็ได้  อาทิเช่น สนาม แนวถนน แนวกำแพง
ภายในโรงงาน โรงรถ ลานจอดรถ ประตูเข้า ออกโรงงาน ตามชั้นหอพัก อพาร์ทเม้นท์ คอนโด
หรือบ้านเรือน ที่พักอาศัย บริษัท ห้างร้านที่ต้องการมองในที่มืดสนิทเพื่อการตรวจสอบหรือจับภาพ ฯลฯ

หมายเหตุ  ไม่ควรนำกล้องชนิดนี้ติดตั้งเพื่อการตรวจสอบทะเบียนรถ ผลจากการสะท้อนภาพจะทำ
ให้ภาพสว่างจ้าจนมองไม่เห็น เลขทะเบียนเลย


กล้องวงจรปิด CCTV Infrared

     - กล้องวงจรปิด CCTV Infrared เป็นกล้องวงจรปิดที่ใช้แสงจากหลอด IR ส่องกระทบวัตถุ
จะทำงานเมื่อแสงน้อยในระดับหนึ่ง โดยจะมี censor ที่ด้านหน้าของกล้องแล้วจะส่งสัญญาณให้
หลอด IR ทำงาน และเมื่อแสงน้อยภาพจะเปลี่ยนเป็นขาว-ดำ 
     - ข้อดี สามารถมองเห็นในที่มืดสนิทได้เลย เพราะจะใช้แสง IR ส่องไปที่วัตถุ
                 การเลือกใช้งาน
    
 การเลือกใช้งานควรเลือกตามความเหมาะสมกับสถานที่ติดตั้งเช่น ถ้าสถานที่ติดตั้งไม่มี
แสงสว่างเลยหรือมืดสนิท และระยะไม่ไกลมากแนะนำ
ให้ใช้กล้อง Infrared ส่วนสถานที่
ติดตั้งที่มีแสงสว่างบ้างต้องการคุณภาพของภาพสูงและมีงบประมาณก็ควรใช้กล้อง
ที่เป็น Day & Night


     - Day/Night VS. Infrared  
กล้องวงจรปิด CCTV Day & Night คือ กล้องวงจรปิด CCTV ที่สามารถใช้งานได้ทั้งกลางวัน
และกลางคืน แต่ต้องการแสงเล็กน้อยเพื่อให้กล้องวงจรปิด CCTV สามารถจับภาพได้
และเมื่อกล้องวงจรปิด CCTV ได้รับแสงน้อยมากๆ ก็จะเปลี่ยนภาพ เป็นโหมด ขาว-ดำ ข้อดีคือ
กล้องวงจรปิด CCTV Day & night ไม่ได้จำกัดเรื่องของระยะทางที่ตัวกล้องเพิ่มมากขึ้น
ข้อเสียคือ ใช้ในที่มืดสนิทไม่ได้ ต้องการแสงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้กล้องสามารถทำงาน

     กล้องวงจรปิด CCTV ที่ไม่มี Day&Night     กล้องวงจรปิด CCTV ที่มี Day&Night

กล้องวงจรปิดกับมาตรฐาน IP

     - IP - Ingress Protection Ratings คือมาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถในการปกป้อง
สิ่งที่อยู่ภายในของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกทั้งหลาย ใน กรณีของกล้องวงจรปิดมันคือสิ่งที่บ่งบอก
ถึงความสามารถของตัวถังของกล้องใน การป้องกันวงจรภายในจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
ซึ่งแปลความได้ว่าเป็นความทนทานในการใช้งานของกล้องนั่นเอง
     - มาตรฐาน นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย European Committee for Electro Technical
Standardization (CENELEC) (NEMA IEC 60529 Degrees of Protection Provided
by Enclosures - IP Code), ซึ่งการจัดอันดับของการป้องกันจะแสดงด้วยตัวเลข 2 หลักซึ่งหลัก
แรกจะแแสดงความสามารถในการป้องกันของแข็ง และหลักที่สองจะเป็นความสามารถใน
การป้องกันของเหลว รูปแบบการแสดงมาตรฐานจะเป็น IPXX ซึ่ง XX คือตัวเลขดังกล่าว
เช่น IP45 IP66 เป็นต้น
     - ความหมายของตัวเลขหลักแรก
0 = ไม่ป้องกันอะไรเลย
1 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดไม่เกิน 50 มิลลิเมตร เช่น การเผลอไปจับตัวกล้องด้วยมือ
2 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดไม่เกิน 12 มิลลิเมตร เช่น เผลอแตะด้วยนิ้ว
3 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีตั้งแต่ 2.5 มิลลิเมตรขึ้นไป  เช่น เครื่องมือ สายไฟ
4 = สามารถป้องกันของแข็งที่มีตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรขึ้นไป เช่น เครื่องมือ สายไฟ และสายไฟขนาดเล็ก
5 = สามารถป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง
6 = สามารถป้องกันฝุ่นได้
     - ความหมายของตัวเลขหลักที่สอง
0 = ไม่ป้องกันอะไรเลย
1 = สามารถป้องกันน้ำหยดใส่ได้ เช่น หยดน้ำที่เกิดจากความชื้น
2 = สามารถป้องกันละอองน้ำที่เข้ามาในมุมไม่เกิน 15 องศาจากแนวตั้ง
3 = สามารถป้องกันละอองน้ำที่เข้ามาในมุมไม่เกิน  60 องศาจากแนวตั้ง
4 = สามารถป้องกันละอองน้ำได้จากทุกทิศทาง
5 = สามารถป้องกันน้ำได้ในระดับหนึ่ง
6 = สามารถเปียกน้ำได้แต่ไม่นาน เช่น โดนฝน
7 = สามารถจุ่มน้ำได้ที่ความลึกตั้งแต่ 15 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร
8 = สามารถใช้งานใต้น้ำได้
     - ดังนั้นกล้องวงจรปิดตามมาตรฐาน IP 68 คือ กันฝุ่นได้ ใช้งานไต้น้ำได้นั่นเอง

TVL หรือ TV LINE คืออะไร กล้องวงจรปิด CCTV


TV Line คือ ค่าจำนวนเส้นที่กล้องสามารถแสดงภาพได้ ซึ่งมีผลต่อความความคมชัดของตัวกล้องวงจรปิด ยิ่งมีค่ายิ่งมากภาพก็จะยิ่งชัดขึ้นละเอียดขึ้น เช่น กล้องวงจรปิด ความคมชัด 520 เส้น จะให้ภาพที่ชัดกว่า กล้องวงจรปิด ที่มีความคมชัด 420 เส้น เป็นต้น กล้องวงจรปิดที่มีความคมชัดสูง ๆ ราคาก็จะสูงตามไปด้วย

        ความละเอียดของภาพ (แนวนอน)   หากยิ่งมีจำนวนเส้น ทีวีไลน์ สูง  ภาพที่ได้ก็จะคมชัดยิ่งขึ้นตามไปด้วย
โดยปัจจุบันจะเริ่มต้นจาก
330 TVL   ต่ำสุด   350 TVL
380 TVL              400 TVL
420 TVL              450 TVL
480 TVL              500 TVL
520 TVL              530 TVL
540 TVL              550 TVL
560 TVL              580 TVL
600 TVL              620 TVL

ความละเอียดเมื่อเทียบเป็นพิคเซล
420 TVL(TV LINE ) = 270,000  พิคเซล
480 TVL = 380,000  พิคเซล
520 TVL = 430,000  พิคเซล
550 TVL = 480,000  พิคเซล


การทดสอบและวัดค่า TVLine ทำยังไง จะทราบได้อย่างไรว่าค่า TVLine ที่บอกไว้เป็นความจริงการเลือกซื้อกล้องวงจรปิดที่เป็นอะนาล็อกสิ่งแรกที่ ต้องคำนึงถึงคือเรื่องคมชัดของกล้อง ต้องดูที่ค่าของ TVLine ดูง่ายๆ ก็คือค่า TVLine หรือ เส้นสแกน ค่ายิ่งมากบอกถึงว่ากล้องตัวนั้นมีความคมชัดสูงนั่นเอง จะต่างจากกล้องที่เป็นระบบดิจิตอล(Network Camera/IP Camera) ที่ค่าจะบอกเป็นพิกเซล หรือ VGA ซึ่งจะขอกล่าวถึงในห้วข้อต่อไปจะทราบได้อย่างไรว่าค่าที่บอกมาเป็นความ จริง แล้วค่าจริงๆ คือเท่าไหร่ สิ่งแรกที่ต้องเตรียมคือ Test TVLine Chart จะเป็นกระดาษหรือ พลาสติกก็ได้ แต่ต้องเป็นผิวด้านเพื่อลดการสะท้อนแสง นำกล้องที่จะทำการวัดค่า TVLine มาจับภาพที่ Test TVLine Chart ปรับเลนส์ในตำแหน่งที่ชัดที่สุด





   สังเกตภาพขณะที่แสดงบนจอแสดงผลหาตำแหน่งที่มีค่าสูงที่สุด(ค่า TVLine)ที่สามารถแยกเส้นออกจากกันได้ ส่วนที่ไม่สามารถแยกเส้นออกจากกันได้นั่นหมายความว่ากล้องไม่สามารถจับภาพ ที่ความละเอียดมากกว่านั้นได้ นั่นเองการวัด จะต้องใช้จอที่มีความละเอียดในการแสดงผลสูงด้วยเช่น วัด TVLine ที่ 500 TVLine จะต้องใช้จอที่มีความละเอียดในการแสดงผลสูงกว่า 500 TVLine ซึ่งจอแสดงผลทั่วไปไม่สามารถแสดงผลได้ 





ค่า TVL ของกล้องวงจรปิด คืออะไร

Posted on May 30, 2012 by admin — No Comments ↓
TV Line หรือ TVL คือความละเอียดของการแสดงภาพทางแนวนอน  ยิ่งมากก็ยิ่งดี คือภาพจะมีความละเอียดขึ้น
ปัจจุบันในท้องตลาดที่ขายกัน ตำสุดก็อยู่ที่ 400 TVL  และมากสุดก็ 600-750 TVL (สำหรับระบบ Analog)
ความละเอียด (resolution) เป็นสิ่งที่บอกคุณภาพและความชัดของภาพซึ่งเราวัดกันเป็น”เส้น(line)” ยิ่งเส้นมากเท่าไร ความละเอียดยิ่งมากเท่านั้น และความละเอียดของภาพยังขึ้นอยู่กับจำนวนพิกเซล(pixel) ของตัวรับภาพ (CCD )  ถ้าผู้ผลิตสามารถยัดเยียดจำนวนพิกเซลในตัวรับภาพได้มากเท่าไร กล้องนั้นๆก็จะมีความละเอียดมากขึ้นเท่านั้น
ในตารางคุณสมบัติของกล้องโดยมากจะบอกความละเอียดอยู่สองแบบ คือตามแนวตั้ง (vertical) และแนวนอน(horizontal )

ความละเอียดตามแนวตั้ง (vertical)
ความละเอียดตามแนวตั้งหมายถึงจำนวนเส้นตามแนวนอน ตามมาตรฐานระบบ PAL จำนวนเส้นจะเป็น 625 เส้น และถ้าเป็นระบบ NTSC จำนวนเส้นจะเป็น 525 เส้น ดังนั้นถ้าคิดตามอัตราส่วนที่ว่าความละเอียดสูงสุดแนวตั้งเป็น .7 เท่าของอัตราส่วนแนวนอน ดังนั้นความละเอียดสูงสุดแนวตั้งของทั้ง 2 มาตรฐานจะเป็น
PAL 625 X .75 = 470 เส้น
NTSC 525 X .7 = 393 เส้น

ความละเอียดตามแนวนอน (horizontal )

ความละเอียดตามแนวนอนเท่ากับจำนวนของความละเอียดตามแนวตั้ง  ในทางทฤษฎีความละเอียดตามแนวนอนสามารถเพิ่มได้ไม่จำกัดแต่ติดอยู่ที่ข้อ จำกัด 2 อย่างคือ เทคโนโลยีในการเพิ่มจำนวนพิกเซลบนตัวรับภาพ (CCD ) ยังไม่ดีพอ เพราะยิ่งเพิ่มจำนวนพิกเซล ขนาดของพิกเซลก็ยิ่งลดลงซึ่งกระทบกับความสามารถด้านความไวแสง ดังนั้นจึงต้องชั้งน้ำหนักเอาระหว่างความละเอียดกับความไวแสง
ถ้าคุณสมบัติแสดงความละเอียดเพียงค่าเดียว มันมักจะเป็นความละเอียดตามแนวนอน(horizontal )
วิธีการวัดความละเอียด
วิธีการวัดความละเอียดมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี
1. การใช้ชาร์ตวัดความละเอียด (resolution chart)
โดยการโฟกัสกล้องไปที่ชาร์ตดังกล่าวแล้วนับเส้นแนวนอนกับแนวตั้งที่ปรากฏในตัวรับภาพ (monitor)
2. วิธีวัดแบนด์วิทธ์
เป็นการวัดความละเอียดโดยใช้เครื่องมือวัดแบนด์วิทธ์แล้วเอามาคูณด้วย 80 จะได้ความละเอียดของกล้อง เช่น วัดแบนด์วิทธ์ได้ 5Mhz ความละเอียดที่ได้คือ 5 * 80 = 400 เส้น















 
ภาพตัวอย่าง ความละเอียด 400TVL (บน)ความละเอียด 500TVL (ล่าง)

มาอัฟเกรด เครื่องถอดรหัสเสียง Cambridge DacMagic 100 upgrades

โมดิไฟล์ Cambridge DacMagic 100   โดยการเปลี่ยนตัวเก็บประจุ เป็นชนิด capacitor audio grade   เปลี่ย capacitor ตำแหน่ง output ค่า 100uf 25v จ...